หน่วยที่4
ซอฟต์แวร์(software)
ซอฟต์แวร์ คือ การลำดับขั้นตอนการทำงานของคำสั่งที่จะทำหน้าที่สั่งคอมพิวเตอร์ว่าให้ทำอะไรเป็นชุดของโปรแกรมหลายๆโปรแกรมนำมารวมกันให้สามารถทำงานได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ตามที่ต้องการเรามองไม่เห็นหรือสัมผัสไม่ได้แต่เราสามารถสร้าว จัดเก็บ และนำมาใช้งานหรือเผยแพร่ได้ด้วยสื่อหลายชนิดเช่น แผ่นบันทึก แผ่นซีดี แฟล็ซไดร์ฟ ฮาร์ดดิสก์ เป็นต้น
หน้าที่ของซอฟต์แวร์
ซอฟต์แวร์ทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างผู้ใช้คอมพิวเตอร์และเครื่องคอมพิวเตอร์ ถ้าไม่มีซอฟต์แวร์ เราก็ไม่สามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำอะไรได้เลย ซอฟต์แวร์สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท
ประเภทของซอฟต์แวร์
ซอฟต์แวร์แบ่งเป็น3ประเภทใหญ่ๆคือ
ซอฟต์แวร์ระบบ(System Software)
ซอฟต์แวร์ประยุกต์(Applicattion Software)
และซอฟต์แวร์ใช้งานเฉพาะ
1.ซอฟต์แวร์ระบบ(System Software)
ซอฟต์แวร์ระบบเป็นโปรแกรมที่บริษัทผู้ผลิตสร้างขึ้นมาเพื่อใช้จัดการกับระบบ หน้าที่การทำงานของซอฟต์แวร์ระบบ คือ ดำเนินงานพื้นฐานต่างๆของระบบคอมพิวเตอร์ เช่น รับข้อมูลจากแผงแป้นอักขระแล้วแปลความหมายให้คอมพิวเตอร์เข้าใจ นำข้อมูลไปแสดงผลบนจอภาพหรือนำออกไปยังเครื่องพิมพ์จัดการข้อมูลในระบบแป้นข้อมูลบนหน่วยความจำรอง
System Software หรือโปรแกรมระบบที่รู้จักดีก็คือ DOS,Windowe,Unix,Liunx รวมทั้งแปลคำสั่งที่เขียนในภาษาระดับสูง เช่น ภาษา Basic, Fortran,Pascal,Cobol,C เป็นต้น
นอกจากนี้โปรแกรมที่ใช้ในการตรวจสอบระบบเช่น
หน้าที่ของซอฟต์แวร์ระบบ
1.ใช้ในการจัดการหน่วยรับเข้าและหน่วยส่งออก เช่น รับรู้การกดแป้นต่างๆ บนแผงแป้นอักขระ ส่งระหัสตัวอักษรออกทางจอภาพหรือเครื่องพิมพ์ ติดต่อกับอุปกรณ์รับเข้าและส่งออกอื่นๆ เช่น เมาส์ ลำโพง เป็นต้น
2.ใช้ในการจัดการหน่วยความจำ เพื่อนำข้อมูลจากแผ่นบันทึกมาบรรจุยังหน่วยความจำหลัก จำหลัก หรือในทำนองกลับกัน คือนำข้อมูลจากหน่วยความจำหลักมาเก็บไว้ในแผ่นบันทึก
3.ใช้เป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างผู้ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อให้สามารถใช้งานได้ง่ายขึ้น เช่น การขอดูรายการในสารบบ(directory) ในแผ่นบันทึกการทำสำเนาแฟ้มข้อมูล
ซอฟต์แวร์ระบบพื้นฐานที่เห็นกันทั่วไป แบ่งออกเป็น ระบบปฏิบัติการ และตัวแปลภาษา
ประเภทของซอฟต์แวร์ระบบ
ซอฟต์แวร์ระบบแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1.ระบบปฏิบัติการ(Operating System : OS)
2.ตัวแปลภาษา
1.ระบบปฏิบัติการ หรืที่เรียกย่อๆ ว่า โอเอส (Operating System : OS)
เป็นซอฟต์แวร์ใช้ในการดูแลระบบคอมพิวเตอร์ เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจะต้องมีซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการนี้ ระบบปฏิบัติการที่นิยมมากและเป็นที่รู้จักกันมากและเป็นที่รู้จักกันดี เช่น ดอส วินโดวส์ ยูนิกซ์ ลีนุกซ์ และแมคอินทอช เป็นต้น
1)ดอส (Disk Operating System : Dos)
เป็นซอฟต์แวร์จัดระบบที่พัฒนามานานแล้ว การใช้งานจึงใช้คำสั่งเป็นตัวอักษร ดอสดีในหมู่ผู้ใช้ไมโครคอมพิวเตอร์
2)วินโดวส์ (Windows)เป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนาต่อจากดอส โดยให้ผู้ใช้สามารถสั่งงานได้ จากเมาส์มากขึ้นแทนการใช้แผงแป้นอักขระเพียงอย่างเดียว
3)ยูนิกซ์(Unix)เป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนามาตั้งแต่ครั้ง ใช้กับเครื่องมินิคอมพิวเตอร์ ระบบปฏิบัติการยูนิกซ์ เป็นระบบปฏิบัติที่เป็นเทคโนโลยีแบบเปิด (Opeen system)ซึ่งเป็นแนวคิดที่ผู้ใช้ไม่ต้องผูกติดกับระบบใดๆระบบหนึ่งหรือใช้อุปกรณ์ที่มียี่ห้อเดียวกัน ยูนิกซ์ถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองการใช้งานในลักษณะที่มีผู้ใช้ได้หลายคนในเวลาเดียวกันที่เรียกว่า ระบบหลายผู้ใช(multiusers)และสามารถทำงานได้หลายๆงานเวลาเดียวกันในลักษณะที่เรียกว่าระบบหลายภารกิจ(multitasking)ระบบปฏิบัติการยูนิกซ์จึงนิยมใช้กับเครื่องที่เชื่อมโยงเป็นเครือข่าย เพื่อใช้งานราวมกันหลายๆเครื่องพร้อมกัน
4)ลีนุกซ์(linux)เป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนาจากระบบยูนิกซ์ เป็นระบบซึ่งมีการแจกจ่ายโปรแกรมต้นฉบับให้นักพัฒนาช่วยกันพัฒนาคุณสมบัติของระบบระบบปฏิบัติการ ระบบปฏิบัติการ ลีนุกซ์เป็นที่นิยมกันมากในปัจจุบัน เนื่องจากมีโปรแกรมประยุกต์ต่างๆที่ทำงานระบบลีนุกซ์จำนวนมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มของกูส์นิว(GNU)สิ่งที่สำคัญที่สุดคือระบบลีนุกซ์
ระบบลีนุกซ์ สามารถทำงานได้บนซีพียูหลายตระกูล เช่น อินเทล (PC Intel)ดิจิตอล(Digital Alpha Computer) และซันสปาร์ค (SUNSPARC) ถึงแม้ว่าในขณะนี้ลีนุกซ์ยังไม่สามารถแทนที่ระบบปฏิบัติการวินโดวส์บนพีซีได้ทั้งหมดก็ตาม แต่ผู้ใช้จำนวนมากได้หันมาใช้ และ ช่วยพัฒนาโปรแกรมประยุกต์บน ลีนุกซ์กันมากขึ้น
5)แมคอินทอซ(macintosh)เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ แมคอินทอส ส่วนมากนำไปใช้งานด้านกราฟิก ออกแบบและจัดแต่งเอกสารนิยมใช้ในสำนักพิมพ์ต่างๆ
ชนิดของระบบปฏิบัติการ จำแนกตามการใช้งาน สามารถจำแนกได้ 3 ชนิดด้วยกัน คือ
1.ประเภทใช้งานเดียว(Single-tasking)ระบบปฏิบัติการประเภทนี้จะกำหนดให้คอมพิวเตอร์ใช้งานได้ครั้งละหนึ่งงานเท่านั้น ใช้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กอย่างไมโครคอมพิวเตอร์ เช่น ระบบปฏิบัติดอส เป็นต้น
2.ประเภทใช้หลายงาน(Multi-tasking)ระบบปฏิบัติการประเภทนี้สามารถควบคุมการทำงานพร้อมกันหลายงานในขณะเดียวกัน ผู้ใช้สามารถทำงานกับซอฟต์แวร์ประยุกต์ได้หลายชนิดในดวลาเดียวกัน เช่น ระบบปฏิบัติการ Windows98 ขึ้นไปและ UNIX เป็นต้น
3.ประเภทใช้งานหลายคน(Multi-user)ในหน่วยงานบางแห่งอาจใช้งานคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ทำหน้าที่ประมวลผล ทำให้ขณะใดขณะหนึ่งมีผู้ใช้คอมพิวเตอร์พร้อมกันหลายคนแต่ละคนจะมีสถานีของตนเองเชื่อมต่อกับคอมพิเตอร์จะต้องใช้กับระบบปฏิบัติการที่มีความสามารถสูง
2. ตัวแปลภาษา
การพัฒนาซอฟแวร์ต้องอาศัยซอฟแวร์ที่ใช้ในการแปลภาษาระดับสูงเพื่อแปลภาษาระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่อง
ภาษาระดับสูงมีหลายระดับซึ่งสร้างให้ผู้เขียนโปรแกรมเขียนชุดคำสั่งได้ง่าย เข้าใด้ และเพื่อให้สามารถปรับปรุงแก้ไขซอฟแวร์ภายหลังได้
ภาษาระดับสูงที่พัฒนาขึ้นทุกภาษาต้องมีตัวแปลภาษา ซึ่งภาษาระดับสูงได้แก่ ภาษาBasic,Pascal,C และ ภาษาโลโก้ เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีภาษาคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันอีกมาก ได้แก่ Cobol
2.2 ซอฟแวร์ประยุกต์(Application Software)
ซอฟแวร์ที่ใช้ทำงานร่วมกับคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้งานเฉพาะด้าน เช่น การจัดพิมพ์รายงาน
ประเภทของซอฟแวร์ประยุกต์
แบ่งตามลักษณะการผลิต จำแนกได้ 2 ประเภท คือ
1.ซอฟแวร์ที่พัฒนาขึ้นใช้เองโดยเฉพาะ(Proprietary Software)
2.ซอฟแวร์ที่หาซื้อได้ทั่วไป(Packaged Software)
มีทั้งโปรแกรมเฉพาะ(Cusyomized Package)และโปรแกรมมาตรฐาน(Standard Package)
แบ่งตามกลุ่มการใช้งาน จำแนกได้เป็น3 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้
1.กลุ่มการใช้งานทางด้านธุรกิจ(Business)
2.กลุ่มการใช้งานด้านกราฟิกและมัลติมีเดีย(Graphic and Multimedia)
3.กลุ่มการใช้งานบนเว็บ(Web and Communications)
กลุ่มการใช้งานด้าธุรกิจ
ซอฟแวร์กลุ่มนี้ ถูกนำมาใช้โดยมุ่งหวังให้การใช้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การจัดการพิมพ์รายงานเอกสาร นำเสนองาน และการบันทึกนัดหมายต่างๆ ตัวอย่างเช่น
โปรแกรมประมวลผลคำ อาทิ Microsoft Microsoft Word,Sun StarOffice Writer
โปรแกรมตารางคำนวณ อาทิ Microsoft Microsoft Excel, Sun StarOffice Cals
โปรแกรมนำเสนองาน อาทิ Microsoft
กลุ่มการใช้งานด้านกราฟิกและมัลติมีเดีย
ซอฟแวร์กลุ่มนี้ถูกพัฒนาเพื่อช่วยจัดการด้านงานกราฟิฟและมัลติมีเดีย เพื่อให้งานง่ายขึ้น เช่นใช้ตกแต่ง การสร้างและการออกแบบเว็บไซต์ เช่น
โปรแกรมงานออกแบบ อาทิ Microsoft visio Professional
โปรแกรมตกแต่งภาพ อาทิ CorelDRAW
โปรแกรมตัดต่อวิดิโอและเสียง อาทิ Adobe Premiere
โปรแกรมสร้างมัลติมีเดีย อาทิ Adobe Authorware
โปรแกรมสร้างเว็บ อาทิ Adobe Flash
กลุ่มการใช้งานบนเว็บและการติดต่อสื่อสาร
เมื่อเกิดการเจริญเติบโตของเครือข่ายอินเตอร์เน็ตซอฟแวร์กลุ่มนี้ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาใช้งานเฉพาะเพิ่มมากขึ้น เช่นโปรแกรมตรวจเช็คอีเมลล์ อื่นๆ เช่น
โปรแกรมจักการอีเมลล์ อาทิ Microsoft Outlook
โปรแกรมท่องเว็บ อาทิ Microsoft Internet Explorer
โปรแกรม ประชุมทางไกล (Video Conference) อาทิ Microsoft Netmeeting
โปรแกรมส่งข้อความด่วน อาทิ MSN Messenger
โปรแกรมสนทนาบนอินเทอร์เน็ต อาทิ PIRCH
ความจำเป็นของการใช้ซอฟแวร์
การใช้ภาษาเครื่องนี้ถึงแม้ว่าคอมพิวเตอร์จะเข้าใจได้ทันที แต่มนุษย์ผู้ใช้จะมีข้อยุ่งยากมากเพราะเข้าใจและจะจำได้ยากจึงมีผู้สร้างภาษาคอมพิวเตอร์ในรูปแบบที่เป็นตัวอักษร เป็นประโยคข้อความ ภาษาในลักษณะดังกล่าวนี้เรียกว่าภาษาคอมพิวเตอร์ระดับสูง
ซอฟแวร์และภาษาคอมพิวเตอร์
เมื่อมนุษย์ต้องการใช้ช่วยในการทำงานจะต้องบอกขั้นตอนวิธีการให้คอมพิวเตอร์ทราบ การที่บอกสิ่งที่มนุษย์เข้าใจให้คอมพิวเตอร์รับรู้ และทำงานได้อย่างถูกต้อง จำเป็นต้องมีสื่อกลาง สำหรับให้มีการติดต่อให้คอมพิวเตอร์รับรู้เราเรียกสื่อกลางนี้ว่า ภาษาคอมพิวเตอร์
ภาษาคอมพิเตอร์ในแต่ละยุคประกอบด้วย
ภาษาเครื่อง
เนื่องจากคอมพิวเตอร์ทำงานด้วยสัญญาณไฟฟ้าใช้แทนด้วยตัวเลข 0 และ 1 ผู้ออกแบบคอมพิวเตอร์ใช้ 0 และ 1 เป็นรหัสแทนคำสั่งงาน รหัสแทนข้อมูลและคำสั่งใช้ระบบเลขฐานสอง คอมพิวเตอร์สามาร๔เข้าใจได้เราเรียกเลขฐานสองที่ประกอบเป็นชุดคำสั่งและใช้สั่งงานคอมพิวเตอร์ว่าภาษาเครื่อง
การใช้ภาษาเครื่องนี้คอมพิวเตอร์จะเข้าใจได้ทันที
ภาษาแอสเซมบลี
เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ในยุคที่2 ถัดจากภาษาเครื่อง ภาษาแอสเซมบลีช่วยลดความยุ่งยากลงในการเขียนโปรแกรมเพื่อติดต่อกับคอมพิวเตอร์
แต่อย่างไรก็ตามภาษาแอสเซมบลีก็มีความใกล้เคียงภาษาเครื่องอยู่มากและจำเป็นต้องใช้ตัวแปลภาษาที่เรียกว่า แอสเซมบลี
ภาษาระดับสูง
เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ระดับสูงในยุคที่3เริ่มมีการใช้คำสั่งที่เรียกว่า Statementsมีลักษณะเป็นประโยคภาษาอังกฤษทำให้ผู้เขียนโปรแกรมสามารถเข้าใจชุดคำสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานง่ายขึ้น ตัวแปลภาษาระดับสูงเพื่อให้เป็นภาษาเครื่องนั้นมีอยู่2ชนิด คือ
คอมไพเลอร์และ อินเทอร์พรีเตอร์
คอมไพเลอร์ จะทำการแปลโปรแกรมที่เขียนเป็นภาษาระดับสูงทั้งโปรแกรม
อินเทอร์พรีเตอร์ จะแปลทีละคำสั่ง
ข้อแตกต่างของทั้งสอง จึงอยู่ที่การแปลทั้งโปรแกรมหรือแปลทีละคำสั่ง
โครงสร้างของเครือข่ายคอมพิวเตอร์
1. เครือข่ายเฉพาะที่ (Local Area Network : LAN)
เป็นเครือข่ายที่มักจะพบเห็นเนองค์กรณ์โดยส่วนใหญ่ของการเชื่อมคอมพิวเตอร์เป็นวง LAN
จะมีอยู่ในพื้นที่ใกล้ๆกัน
2. เครือข่ายเมือง( Metropolitan Area Network : MAN)
เป็นกลุ่มของเครือข่าย LAN ที่นำมาเชื่อมต่อกันเป็นวงที่ใหญ่ขึ้น ภายในบรเวณพื้นที่ใกล้เคียง เช่นในเมืองเดียวกัน เป็นต้น
3. เครือข่ายบริเวณกว้าง ( Wide Area Network : WAN)
เป็นเครือข่ายที่ใหญ่ขึ้นไปอีกระดับ โดยเป็นการรวมเครือข่ายทั้ง LAN และ MAN มาเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายเดียวกัน ดังนั้นเครือข่ายยี้จึงครอบคลุมพื้นที่กว้าง โดยมีการครอบคลุมไปทั่วประเทศ หรือ ทั่วโลก เช่น อินเตอร์เน็ต ซึ่งถือเป็นเครือข่ายสาธารณะที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ
การทำงานของระบบNetwork และ Internet
รูปแบบโครงสร้างของเครือข่าย
การจัดระบบการทำงานของเครือข่าย มีรูปแบบโครงสร้วของเครือข่าย อันเป็นการจัดวางคอมพิวเตอร์ และการเดินสายสัญญานคอมพิวเตอ์ในเครือข่าย รวมถึงหลักการไหลเวียนข้อมูลในเครือข่ายด้วย โดยแบ่งเป็นโครงสร้างเครือข่ายหลักได้ 4 แบบ คือ
1.เครือข่ายแบบดาว
2.เครือข่ายแบบวงแหวน
3.เครือข่ายแบบบัส
4.เครือข่ายแบบต้นไม้
รูปแบบของโครงสร้างเครือข่าย
1. แบบดาว เป็นการต่อสายเชื่อมโยงโดยการนำสถานีต่างๆ มาต่อรวมกันกับหน่วยสลับสายกลาง
ลักษณะการทำงานแบบดาว
เป็นการเชื่อมโยงการติต่อสื่อสารที่มีลักษณะ คล้ายรูปดาวหลายแฉก โดยมีสถานีกลาง การสื่อสารแบบดาวจะมี 2 ทิทางโดยจะอนุญาตให้มีเพียงโหนดเท่านั้นที่สามารถส่งข้อมูลเข้าสู่เครือข่ายได้
2. แบบวงแหวน เป็นแบบสถานีของเครือข่ายทุกสถานีจะต้องเชื่อมต่อกับเครือข่ายสัญญาณของตนเองด้วยกันเป็นวงแหวนเครือข่ายสัญาณนี้จะจะรับข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของตัวเอง และส่งข้อมูลยังสัญญาณต่อไปเรื่อยๆ
3.แบบบัส เป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ต่างๆ ด้วยสายเคเบิ้ลยาว ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ โดยจะมีอุปกรณ์เป็นตัวเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เข้ากับสายเคเบิ้ล ในการส่งข้อมูล จะมีคอมพิวเตอร์เพียงตัวเดียว วิธีการที่ใช้อาจแบ่งเวลาหรือให้แต่ละสถานีใช้ความถี่ สัญญาณที่แตกต่างกัน ซึ่งจะใช้ในเครือข่ายขนาดเล็ก ในองค์กรที่มีคอมพิวเตอร์ไม่มากนัก
4.แบบต้นไม้ เป็นเครือข่ายที่มีการผสมผสานโครงสร้างเครือข่ายแบบต่างๆเข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่
การประยุกต์ใช้งานของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ระบบเครือข่ายจะทำให้เกิดการสื่อสารและการแบ่งปันการใช้ทรัพยากรระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์
รูปแบบการใช้งานของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ระบบเครือข่ายแบ่งตามลักษณะการทำงาน ได้เป็น 3 ประเภท คือ
1. ระบบเครือข่ายแบบรวมศูนย์กลาง
2.ระบบเครือข่ายแบบ Peer-to Peer
3.ระบบเครือข่ายแบบ Client / Server
การประยุกต์ใช้งานของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
1. ระบบเครือข่ายแบบรวมศูนย์กลาง
เป็นระบบที่มีเครือข่ายหลักเพียงเครื่องเดียวที่ใช้ในการประมวณผล ตั้งอยู่ที่ศูนย์กลาง
2. ระบบเครือข่ายแบบ Peer-to Peer
จะมีความเท่าเทียมกันสามารถที่จะแบ่งปันทรัพยากรให้แก่กันและกันได้
3. ระบบเครือข่ายแบบ Client / Server
สามารถสนัสนุนให้มีเครือข่ายลูกข่ายได้เป็นจำนวนมากและสามารถเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้หลายสถานี ทำงานโดยเครื่อง Server ที่ให้บริการเป็นศูนย์กลางอย่างน้อย 1 เครื่อง
เป็นระบบที่มีการยืดหยุ่นสูง
ไ